Design for the Metaverse

พงศธร ละเอียดอ่อน
Executive Director
FiF Design Studio

สวัสดีครับทุกท่าน ท่านที่ได้อ่านบทความของผมในที่นี้มาบ้างคงจะเห็นว่าได้ห่างหายจากการเขียนเรื่องราวต่างๆ ในนี้มาหลายเดือนเนื่องจากภาระงานที่แน่นช่วงปลายปี ต่อต้นปี จนได้จังหวะเหมาะสมที่โดนทวงถามเรื่องบทความจากทีมงานว่าเขียนได้ไหมพอดีในช่วงที่เริ่มซาๆ ภาระงานต่างๆ ลงบ้างพอดีจึงได้จังหวะกัน ฉบับนี้ทีมงานแจ้งว่าเป็นเรื่องของ Metaverse เป็นเรื่องที่อยู่ในกระแส ที่ผมเองก็ติดตามมองเชิงโครงสร้างตั้งแต่การเกิดขึ้นของโลก Online ตั้งแต่ยุค 90 ได้ใช้ เล่น ลอง อะไรหลายๆ อย่างที่เกิดขึ้นมาอยู่เสมอ และมีมุมมองที่อยากจะนำเสนอสู่ผู้อ่านในเรื่องราวของ Metaverse นี้อยู่พอดี 

ก่อนอื่นต้องขอแจ้งว่าเรื่องราวที่ท่านกำลังจะได้อ่านต่อไปนี้ เป็นมุมมองส่วนบุคคลของผมเองจากประสบการณ์ตรง จากการทำงาน เรียนรู้ ศึกษาวิเคราะห์ในด้านต่างๆ สรุปวิเคราะห์เพื่อนำเสนอออกมาเป็นข้อคิดเห็นที่จะต้องนำไปพิจารณาด้วยตัวท่านเองอีกครั้ง ว่าจะนำไปใช้ประโยชน์ในด้านใดได้บ้างหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับแต่ละท่านเอง 

ในความเป็นโลกเสมือนนั้นต้องย้อนไปถึงแนวคิดของ “โลกอวตาร” คือโลกของการเกิด การมีตัวตนขึ้น (อวตาร : การลงมาเกิด, การแบ่งภาคมาเกิด เช่น พระนารายณ์ลงมาจากสวรรค์ ชื่อพระนารายณ์ ชื่อเรียกพระเจ้าแผ่นดิน หรือคนสำคัญลงมาเกิด, แบ่งภาคมาเกิดในโลก, ความหมายจาก พจนานุกรมแปล ไทย-ไทย-ราชบัณฑิตยสถาน) โดยศัพท์คำว่า อวตาร เรียกการมาเกิดใช้กับเทพที่มาจุติ ดังนั้นสำหรับคนธรรมดาอย่างเราเรียกว่าการเกิดก็คงเพียงพอ ทำไมการเกิดถึงเรียกว่าอวตาร? ในอดีตบรรดาอาจารย์ผู้รู้ทั้งหลายได้ชี้ให้เรามองเห็นว่า เราได้มาเกิดในโลกนี้ในชีวิตกายภาพของความเป็นมนุษย์ เรามีชีวิต มีตัวตน มีครอบครัว มีสังคม มีสิ่งแวดล้อมทั้งที่มีชีวิตและไม่มี โลกททั้งหมดเกิดขึ้นสำหรับเราเมื่อเราเริ่มต้นรับ “รู้” หากถามว่าก่อนหน้าที่เราจะเกิดมาสิ่งเหล่านี้มีอยู่หรือไม่? ถ้าเอาคำตอบเชิงบุคคลก็ต้องตอบว่า “ไม่รู้” แต่หากว่าสังคมรอบๆ ตัวเรา คนที่อยู่มาก่อนหน้าเรามีคำตอบไว้ให้เราแล้วว่า “มีอยู่” สำหรับเราจึงเชื่อว่ามีอยู่มาก่อนแล้วตามนั้น ประกอบกับหลักฐานทางกายภาพที่คงให้เราได้เห็นเชิงประจักษ์ด้วย “การรับรู้” ของเราเองว่าสิ่งเหล่านั้นยังคงมีอยู่ “ความเชื่อ” ของการมีอยู่จึงเกิดขึ้นแก่เรา ภาพยนตร์เรื่อง “The Truman Show” (1998) นำแสดงโดย Jim Carrey ดาราตลกชื่อดังในยุคนั้น ได้แสดงตลกร้าย เกี่ยวกับเรื่องของการรับรู้ของการมีอยู่ของสิ่งต่างๆ รอบตัวเราที่เชื่อว่าจริงออกมาได้อย่างสนุกน่าสนใจ ว่าการรับรู้และความเชื่อสร้างโลกของเราขึ้นมาได้จริงๆ หากท่านใดยังไม่เคยชมแนะนำให้ลอง ชมดูนะครับ 

เมื่อมองตามแนวคิดข้างต้นจะเห็นได้ว่าสิ่งต่างๆ ล้วนปรากฏด้วย “การรับรู้” ช่องทางการรับรู้คือทุกสิ่งที่ปรากฏแก่เรา และเมื่อประกอบกับ “ความเชื่อ” เราก็จะสร้างความมั่นคงทาง “ความจริง” ให้กับตัวเราเองได้ ความมั่นคงทางความจริงนี้เองที่ทำให้เราสามารถใช้ชีวิตได้อย่างสงบสุข เหตุเพราะหากไร้ซึ่งความมั่นคงทาง “ความจริง” จิตใต้สำนึกของเราจะดิ้นรนกระวนกระวานเพื่อหาคำตอบให้ได้ว่าอะไรคือความจริงที่จะเกิดขึ้นต่อไปจากนี้ จิตคอยจดจ่อระแวดระวังอยู่ตลอดเวลา เพื่อเฝ้าดูเหมือนสุนัขเฝ้าบ้านว่าอะไรจะเข้ามา จะเกิดเป็นอันตรายกับตัวเราหรือไม่ จนกว่าจะมีความมั่นคงทางความจริงที่เชื่อมั่นว่าปลอดภัยไร้กังวลกับตัวเรา จิตของเราก็จะผ่อนคลายและนิ่งสงบลง การรับรู้ ความเชื่อ ความจริง จึงเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้กันและกันเรื่อยมา 

จิตใต้สำนึกและกายทำงานเชื่อมโยงส่งผลให้กันและกันตลอดเวลา เมื่อจิตมีการเคลื่อนขยับก็จะทำให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนออกมาตอบสนองเพื่อกระตุ้นปฏิกิริยาของร่างกาย เมื่อเราเบิกบาน สนุกสนานร่าเริง เครียด กลัว ร่างกายก็จะมีฮอร์โมนหลั่งออกมาแตกต่างกันไป ตรงนี้เองที่ทำให้ร่างกายเราทำงานตามที่อารมณ์เราปรารถณาได้ เราสามารถมีกำลังมากขึ้นเมื่อตื่นเต้นตกใจเวลามีภัย มีความสดชื่นตื่นตัวตื่นเต้นทั้งร่างกายเวลามีความรัก มีความอึดอัดปวดหัวแน่นหน้าอกเวลาเครียด ฯลฯ สำหรับร่างกายฮอร์โมนก็เหมือนสารเคมีในธรรมชาติที่กระตุ้นระบบให้ทำงาน และเกิดผลลัพธ์ที่ต้องการ

 ฮอร์โมนธรรมชาติเหล่านี้เมื่อหลั่งออกมาให้ร่างกายได้เสพต่อเนื่องเป็นระยะเวลาหนึ่ง ร่างกายก็จะคุ้นชินและต้องการอยู่เรื่อย ซึ่งมีคุณสมบัติคล้ายสารที่เสพติดได้โดยธรรมชาติ การเสพฮอร์โมนที่เกิดจากจิตใต้สำนึก ที่ถูกกระตุ้นด้วยอารมณ์ขับเคลื่อนปฏิกิริยาของร่างกาย ความสุขที่ได้รับจากฮอร์โมนสามารถสร้างได้จากองค์ปัจจัยภายนอกโดยการกระตุ้นความคิดจนทำให้เกิดอารมณ์ และไปกระตุ้นให้ต่อมไร้ท่อผลิตฮอร์โมนเหล่านั้นออกมาตามอารมณ์ที่เป็นไป การใช้ปัจจัยภายนอกที่ทำให้มนุษย์เสพติด (ฮอร์โมนตัวเอง) นั้นถูกค้นพบและทำมานานหลายยุคหลายสมัยผ่านทางบทเพลง เรื่องเล่า งานศิลปะ การต่อสู้ การผจญภัย ฯลฯ เรื่องราวแห่งวิถีชีวิตเหล่านี้เหมือนเป็นสีสันเติมเต็มให้การใช้ชีวิต และเพิ่มรสชาติชีวิตสำหรับมนุษย์มาตลอด และดูเสมือนว่าก็ยังเป็นที่โหยหาและต้องการต่อไป 

ในการเกิดมาบนโลกเราได้สร้างตัวตน “สมมุติ” (นาม. รู้สึกนึกเอาว่า กริยา. ที่ยอมรับตกลงกันเองโดยปริยายโดยไม่คํานึงถึงสภาพที่แท้จริง ความหมายจาก พจนานุกรมแปล ไทย-ไทย ราชบัณฑิตยสถาน) ด้วยการผสมผสานสิ่งที่คนรอบตัวที่เลี้ยงดูมาบอกว่าเราเป็นใครอย่างไรเข้ากับ ความต้องการลึกๆ จากภายในที่บอกออกมาว่าเราอยากจะเป็นอะไรอย่างไร ตัวตนนี้เองก็จะค่อยๆ ชัดเจนขึ้นและเป็นจริงต่อเราเองขึ้นเรื่อยๆ เราได้พยายามแสดงออกถึงความมีตัวตนนี้แก่คนรอบข้างผ่านทางการพูด กริยา การแต่งตัว เสื้อผ้าหน้าผม แนวของผลิตภัณฑ์ และ Brand ของสินค้าที่ใช้ รถที่ขับ บ้านที่อยู่ สังคมที่อยู่ด้วย ฯลฯ เรียกว่าทุกทางที่เราจะสามารถบ่งบอกความเป็นตัวตนที่เราภูมิใจออกไปให้คนรับรู้ได้เราทำหมด 

ในอดีตที่ผ่านมาการออกแบบตัวตนนี้ก็คือ การออกแบบชีวิต เพราะเรามีเพียงชีวิตเดียวที่เกิดมา “ชีวิตกายภาพ” (Physical life form) ในยุคอุตสาหกรรมความสำเร็จของการทำการตลาดของธุรกิจด้วยการสร้างต้นแบบของตัวตนแบบต่างๆ ผ่านสื่อภาพยนตร์ ละคร เพลง โฆษณา ฯลฯ ทำให้คนเราสะดวกขึ้นในการสร้างตัวตน เรียกว่าไม่ต้องคิดเองเหมือนยุคก่อน (ยุคแห่งการค้นหาตัวตน) สามารถเลือกเอาจาก catalog ในสื่อได้เลยว่าชอบใจตัวตนแบบไหน นิสัยใจคออย่างไร อารมณ์อย่างไร เมื่อเราเสพสื่อที่เราพึงพอใจเข้าไปในจิตใต้สำนึกมากพอ ตัวตนภายในเราก็จะรับเอาแบบแผนนั้นมาเป็นตัวเอง และเราก็จะกลายเป็นคนแบบในสื่อนั้นโดยรู้หรือไม่รู้ตัว แต่ก็เป็นทางเลือกที่เราพึงพอใจ กิจกรรมนี้ไม่ได้ได้มาฟรีๆ แต่ตัวตนเหล่านี้จะพ่วงมากับสินค้าแบบต่างๆ Brand name ต่างๆ กันไปของตัวตนแต่ละแบบ กิจกรรมชีวิต รสนิยมอาหารที่เหมาะกับตัวตนแบบต่างๆ ยุคเฟื่อฟูของสินค้า lifestyle และ Brand name จึงเติบโตและทำเงินมหาศาลบนความสุขความพึงพอใจของผู้คนในโลก ที่เสพสื่อ ซื้อของเพื่อสร้างตัวตนกันอย่างสนุกสนาน

เมื่อตัวตนคือสิ่งที่เกิดขึ้นภายในตัวเราเองดังนั้น ความรู้สึกเป็นเจ้าของและต้องปกป้องรักษาจึงเกิดโดยธรรมชาติ (อะไรก็ตามที่เรารับรู้ว่าเป็นของเราเราจะหวงปนรักษาปกป้อง) และความเป็นเจ้าของก็นำโลกอีกใบให้ปรากฏแก่เรานั้นคือโลกแห่งความไม่ใช่ฉัน เมื่อสามารถบอกได้ว่าอะไรเป็นของฉันเป็นตัวฉัน ที่เหลือจะเปลี่ยนเป็นโลกของสิ่งที่ไม่ใช่ฉันโดยทันที ลองมองไปรอบตัวๆ ก็ได้ครับว่า เราบอกว่าอะไรบ้างที่เป็นของฉัน (ชี้เข้าหาตัวเองได้ด้วยนะครับ) และถามว่ารู้สึกอย่างไรของสิ่งที่เป็นของฉันเหล่านี้? มีใครมาหยิบเอาไปแล้วจะรู้สึกอย่างไร? หากมันหายไปรู้สึกอย่างไร? นั่นแหละครับคือผลที่ธรรมชาติของจิตใต้สำนักกำลังปกป้องรักษาความเป็นตัวตนของฉันให้อยู่ กระบวนการนี้เป็นกระบวนการที่มีอยู่ในมนุษย์โดยธรรมชาติทำให้เราอยู่รอดปลอดภัยป้องกันตัวเอง สิ่งของและคนที่เรารักจากการถูกรุกรานทำร้ายมาได้ครอบครองโลกใบนี้เป็นโลกของมนุษย์ในปัจจุบัน หากลองตั้งข้อสังเกตจะเห็นได้ว่า พื้นที่ใดที่มีเจ้าของจะไม่มีใครสนใจดูแล จุดนี้เองเป็นจุดโหว่สำคัญของการลัดลอบทำลายและเอาผลประโยชน์ของทรัพยากรในพื้นที่สาธารณะของคนที่มีความสามารถในการเข้าถึงได้ เพราะพื้นที่เหล่านั้นขาดคนดูแลรักษา หากทุกคนตระหนักว่า โลกทั้งใบคือของทุกคนและทุกชีวิต ความหวงแหนรักษาจะเกิดขึ้นทันที แต่ก็นั้นแหละคือความยากที่จะทำให้ตัวตนของบุคคลนั้นเชื่อได้อย่างไรว่าที่ๆ ไกลออกไป มองไม่เห็นไม่รับรู้ นั้นเกี่ยวข้องกับเราเช่นกัน การแบ่งความเจ้าของที่เดิมหวังว่าจะช่วยสร้างการดูแลรักษา กลับกลายเป็นการยิ่งสร้างพื้นที่ที่ “ไม่ใช่ของฉัน” มากขึ้นไปอีก (เราไม่สามารถเป็นเจ้าของสิ่งต่างๆ ในโลกได้มากกว่าสิ่งที่เราไม่ได้เป็นเจ้าของ) 

 ความเป็นเจ้าของเกิดขึ้นในสิ่งต่างๆ ของโลก  และสิ่งต่างๆ ที่มนุษย์คิดค้นขึ้น นำมาผสานกับการทำการตลาดโดยวิธีการกระตุ้นความต้องการในการสร้างตัวตนด้วยสื่อที่เป็น mass ทำให้คนเป็นจำนวนมากมีความต้องการแบบเดียวกันในสิ่งที่มีอยู่อย่างจำกัด มูลค่าเพื่อการแลกเปลี่ยนจึงเกิดขึ้น และพัฒนาเรื่อยมาจนเป็นระบบเงินตรา จนเงินตรานั้นมีคุณค่าในตัวมันเองเพราะใช้แลกเปลี่ยนสิ่งที่คนต้องการได้ (ทั้งสินค้าและบริการ) เงินบ่งบอกตัวตนบางรูปแบบได้ (ตัวตนที่เรียกว่าคนรวย) เงินจึงกลายเป็นสิ่งที่มีความต้องการและมีการซื้อขายแลกเปลี่ยนตัวเงินเอง เมื่อมองตามนี้จะเห็นได้ว่าอะไรก็ตามที่มีความต้องการ และการตอบสนองเพื่อให้ได้มาของสิ่งนั้นมีน้อยกว่า จะทำให้เกิดมูลค่าที่สูงขึ้นเพื่อให้เกิดการแข่งขันในการได้มา ตราบเท่าที่ยังสร้างความต้องการความอยากได้อยากมีให้เกิดขึ้นได้อยู่ และควบคุมปริมาณการได้มาให้จำกัดได้ มูลค่าก็จะเพิ่มขึ้น

พอถึงจุดนี้จะเห็นได้ว่า คุณค่าของสิ่งใดๆ ที่สามารถตอบสนองความพึงพอใจของตัวตนทั้งร่างกายและจิตใจนั้นไม่จำเป็นต้องเท่ากับมูลค่าของตัวมันเองเสมอไป น้ำดื่มที่สะอาดนั้นเดิมไม่มีมูลค่าใดๆ เพราะใครๆ ก็หาได้จากแหล่งน้ำธรรมชาติ ห้วย คลอง บึงที่สะอาด เมื่อแหล่งน้ำนั้นไม่สามารถให้น้ำที่สะอาดได้ และน้ำสะอาดเหลือแหล่งที่มาที่จำกัดและควบคุมได้จากคนจำนวนหนึ่ง คนที่เหลือจึงยอมจ่ายเพื่อแลกมาเพื่อน้ำสะอาด อีกตัวอย่างที่ตรงข้ามคือเพชร ที่ไม่ได้มีคุณค่าในการดำรงชีวิตประจำวันในธรรมชาติ (เพชรมีคุณค่าในกระบวนการผลิตหลายอย่างที่ใช้คุณสมบัติของเพชร) แต่จากการสร้างตัวตนสมมุติขึ้นมาว่าเป็นหญิงสาว สวย มีเสน่ห์นั้น เพราะเธอสวมเพชร ความวูบวาบเมื่อต้องแสงไฟจึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของตัวตนรูปแบบหนึ่ง และมีการจำกัดการได้มาจากธรรมชาติอย่างเข้มงวด ที่ทำให้แหล่งที่มานั้นถูกควบคุม เมื่อตัวตนแบบนั้นขยายความต้องการมีตัวตนแบบนั้นออกไปเพิ่มมากขึ้น แหล่งที่มาที่จำกัด ทำให้ราคาเพชรถีบตัวเพิ่มขึ้น และอีกหลายๆ อย่างในโลกการค้า โลกธุรกิจก็ใช้โมเดลคล้ายๆ กัน

โมเดลมูลค่าในโลกกายภาพกับ Metaverse มีแนวคิดคล้ายกันคือทำอย่างไรจะให้เกิดความต้องการ และทำอย่างไรจะจำกัดปริมาณของการได้มาซึ่งสิ่งนั้นได้ ย้อนดูสมัยก่อน เกมส์ถูกออกแบบมาให้สนุกตื่นเต้นท้าทายเพื่อบรรลุเป้าหมาย เล่นกันทั้งคืนไม่หลับไม่นอนเพื่อผ่านด่านต่างๆ ไปให้ได้สะสมเครื่องมือ เพิ่มความสามารถให้ตัวตนที่เราบังคับในเกมส์ ผ่านเรื่องราวที่ถูกออกแบบมา ปรับแต่งตัวตนได้ด้วยการไปแลกของในเกมส์ ด้วยการสะสมเหรียญจากการผ่านด่านต่างๆ ของเหล่านั้นเป็นจริงอยู่ในเกมส์ที่ช่วยเพิ่มความสามารถ ทำให้ตัวตนในเกมส์ดูดี (ก็เห็นๆ เลยในภาพหน้าจอว่าตัวละครที่เราเล่นเท่ห์ขึ้น) จนนานวันเข้าจนหลงรักและชื่นชมเจ้าตัวละครนั้นที่เราสร้างมันขึ้นมา ไม่ต่างอะไรกับตัวตนในโลกกายภาพของเราที่กล่าวมาข้างต้น

เมื่อเกมส์ online เกิดขึ้น จึงเกิดสังคมของคนจำนวนมากเข้ามาเล่นในพื้นที่เกมส์เดียวกันอยู่ในโลกเดียวกัน และจุดนี้เองการแลกเปลี่ยนก็เกิดขึ้น ด้วยความสามารถในการจำกัดการได้มาของสิ่งต่างๆ ในเกมส์ได้จากผู้สร้าง มูลค่าของสิ่งของเหล่านั้นจึงเกิดขึ้นจริงในเกมส์ได้ตามหลักการเดียวกันกับโลกกายภาพ แต่นั้นก็แค่ในเกมส์เดียวที่บริษัทเดียวสร้างขึ้นมา บางเกมส์นั้นสิ่งของในเกมส์สามารถใช้เงินจริงๆ ไปแลกเหรียญในเกมส์เพื่อซื้อได้ สนุกหละสิครับ ไม่ต้องเฝ้าตามหาตามเก็บแล้ว ใช้เงินซื้อได้เลย เกมส์เหล่านั้นเกิดรายได้มหาศาลจากคนที่ต้องการสร้างตัวตนในเกมส์ให้ได้ตามที่ต้องการโดยเร็ว และเกิดการแลกเปลี่ยนซื้อขายมากมาย เมื่อเกิด blockchain ขึ้น ความเชื่อถือของการควบคุมการได้มาของหน่วยแลกเปลี่ยนจึงขยับจากบริษัทเดียวถือสิทธิ์เป็นเจ้าของควบคุมความน่าเชื่อถือ (ที่อาจจะโกงได้ใครจะรู้) มาเป็นไม่มีเจ้าของที่แท้จริงและไม่มีใครโกงได้(เรารู้เท่าที่เขาบอกมา) จุดนี้แหละครับทำให้การแลกเปลี่ยนเข้าสู่ยุคก้าวกระโดดทันที และการซื้อขายในเกมส์มีความน่าเชื่อถือขึ้นอย่างมาก เหรียญในเกมส์ฮิตๆ เอามาแลกเปลี่ยนกันในราคาที่พุ่งสูงขึ้นเพาะความต้องการมีมาก และจำนวนนั้นจำกัดจากผู้ผลิต อุตสาหกรรมเติบโตมหาศาล แต่ก็ยังอยู่ในหมู่คนรักคนเล่นเกมส์ ที่ไม่ได้มากเท่าไหร่เมื่อเทียบกับประชากรทั้งในโลกใบนี้ 

ความพยายามที่จะเชื่อมโยงความต้องการในโลกเมือน Digital เข้ากับโลกกายภาพนั้นคือสิ่งที่หลายค่าย หลายคนพยายามอย่างหนักที่จะคิดหาความเชื่อมโยงของตัวตนในโลกเสมือน กับตัวตนในโลกกายภาพเข้าหากัน คำตอบนั้นเริ่มชึ้ชัดเจนขึ้นเมื่อเข้าสู่ยุค social media ที่ตัวตนของเราถูกสร้างจากการพบเจอกันในโลก online ที่ไม่ใช่เป็นเกมส์ เรารู้สึกว่าตัวนั้นที่เราเห็นใน social media นั้นเป็นตัวตนของคนจริงๆ ที่นี่คือสถานที่สีเทาที่เชื่อมสองโลกเข้าหากัน และทำให้เกิดกิจกรรมการสร้างตัวตนโดยนำสิ่งของในโลกกายภาพ ผ่านภาพถ่ายเข้าไปแสดงตัวตนในโลก online เกิดยุคแห่งการเสพการถ่ายภาพ up social แสดงตัวตนกันอย่างเฟื่องฟู กระแสของการบริโภคเพื่อตัวตนได้เปลี่ยนไป คนไม่ได้ต้องการสิ่งนั้นในชีวิตจริงๆ แต่ต้องการเอาไปแสดงตัวตนในโลกเสมือนเท่านั้น เกิดปรากฏการณ์ของการร่วมเป็นเจ้าของ (การเช่า) ไม่ได้อยากเป็นเจ้าของจริงๆ ต้องการเพียงนำมาแสดงตัวตนในโลก online ได้รับความนิยม การตบแต่งภาพ การสร้างตัวตนเข้าสู่สังคมโลก online ทำให้เกิดอุตสาหกรรมใหม่มากมาย และฆ่าธุรกิจที่ไม่เข้าใจการสร้างตัวตนเสมือนให้ตายไปมากมาย (Disruption)

การเป็นจุดเชื่อมของสองโลกนั้นคงยังไม่เป็นทีน่าพอใจของบางธุรกิจที่ต้องการจะสร้างโลกทั้งใบที่แสดงตัวตนได้โดยไม่ต้องพึ่งพาสิ่งต่างๆ จากโลกกายภาพ วันนี้โลกของ social media ผลักดันหลายธุรกิจโดยเฉพาะสินค้า Brand name และผลิตภัณฑ์ประเภทช่วยสร้างตัวตน (Fashion เครื่องสำอาง ศัลยกรรม ฯลฯ) ให้เติบโต แต่ทำอย่างไรนะ เม็ดเงินเหล่านั้นจะมารวมศูนย์ในที่เดียว โดยไม่ต้องผูกกับโลกกายภาพ คำตอบเริ่มเห็นช่องทางเมื่อเทคโนโลยีภาพเสมือนจริงสามมิติดูจริงมากขึ้น เสียงที่เสมือนจริง (สัมผัส กลิ่น และรสชาติกำลังอยู่ในระหว่างการพัฒนา) ทำให้ความพึ่งพาการรับรู้เพื่อกระตุ้นอารมณ์ ความคิด และฮอร์โมนของมนุษย์เริ่มมีแนวคิดว่าสามารถทำได้โดยผ่านการเสพข้อมูลโดยตรงเข้าสู่ระบบการรับรู้ของประสาทสัมผัสทั้ง 5 (ต่อไปคือการฝัง chip ที่เชื่อมระบบประสาทกรรับรู้เข้ากับข้อมูล digital) โลกใบใหม่นี้ถูกสร้างความฮือฮาจากผู้นำในด้านเทคโนโลยี เราก็กำลังจะเห็นมันเป็นจริงในเร็ววันนี้ภายใต้ชื่อ Metaverse 

หากมองในด้านดี Metaverse ถ้าทำได้นั้น เราจะพึ่งพาสิ่งของกายภาพน้อยลงในสิ่งที่ไม่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต เพียงแต่ต้องการเพื่อสร้างตัวตน ก็ดีนะเพราะการสร้างตัวตนในโลก Digital นั้นใช้ทรัพยากรโลกน้อยกว่าในโลกกายภาพมาก ไม่ต้องใช้วัตถุดิบ ไม่ต้องขนส่ง ไม่ต้องใช้พื้นที่จัดเก็บ ไม่เกิดขยะ ไม่สร้างของเสีย ไม่มีสารเคมี ฯลฯ หากมองในด้านดีความฟุ้งเฟ้อบนโลก online ไม่สร้างความเสียหายต่อทรัพยากรโลกเพิ่มขึ้นเท่าความฟุ้งเฟ้อบนโลกกายภาพ (การมีกระเป๋าถือ 300 ใบ ในโลก Metaverse คงใช้พลังงานเพิ่มขึ้นนิดเดียวเทียบไม่ได้เลยกับการมีแบบเดียวกันบนโลกกายภาพ) และในทางเดียวกันก็จะทำให้การเร่งอัตราการบริโภคและความมฟุ้งเฟ้อบนโลก Digital นั้นพุ่งสูงอย่างไร้เบรก “อ้าวก็ดีสิเศรษฐกิจดิจิตอลนี่แหละคือความหวังของการเติบโตของระบบเศรษฐกิจยุคใหม่ที่เป็นมิตรต่อโลกหนิ” สำหรับผมมันมีทั้งด้านสว่างและด้านมืดในตัวเอง ด้านสว่างก็ใช่ที่โลก Metaverse จะช่วยลดปัญหาที่เกิดจากการผลิตในโลกกายภาพลงเพราะคนไม่ต้องการของเหล่านั้นเป็นกายภาพจริงๆ แล้ว มีให้เห็นในโลก online ก็พอ เช่น ไม่ต้องออกจากบ้านไปประชุมงาน แต่งตัวในโลก Metaverse จะทำผมทรงไหน ผมจริงๆ ก็ไม่เสีย เสื้อผ้าจะมีกี่ร้อยชุดก็ไม่ต้องมีที่เก็บไม่ต้องเปลืองทรัพยากร ไม่ต้องเดินทางไปไหนจริงๆ คงลดปัญหาการใช้ทรัพยากรอย่างบ้าคลั่งจากยุคที่ผ่านมาลงได้ แล้วด้านมืดหละ?

ทางด้านร่างกาย ร่างกายมนุษย์ธรรมชาติออกแบบมาให้รับรู้ตอบสนองกับธรรมขาติ แสงอาทิตย์ที่สะท้อนวัตถุธรรมชาติเข้ามานั้นเป็นมิตรกับดวงตาของเรา ร่างกายของเราต้องรับคลื่นแสงที่จำเป็นเพื่อการกระตุ้นระบบภายในร่างกาย คลื่นเสียงก็เช่นกัน ที่ในธรรมชาติจะมีช่วงคลื่นที่สร้างจากสัตว์ เสียงกระทบของสิ่งต่างๆ เสียงคลื่น ต้นไม้ ฯลฯ ที่ช่วยทำให้ระบบร่างกายเราเป็นปกติสุข คลื่นเสียงที่หลายหลากเหล่านี้เองเป็นเรื่องที่เทคโนโลยียังให้ไม่ได้ (บางช่วงคลื่นหูไม่ได้ยินแต่มีผลกับร่างกาย) ช่วงคลื่นเสียงประดิษฐ์ที่มีข้อจำกัดจากลำโพงที่ฟัง และอื่นๆ ที่จะค่อยๆ ทำให้ระบบร่างกายของเราทำงานผิดไปจากปกติที่ควรจะเป็น เช่น การที่จะถนอมสายตาเราจากแสงโดยตรงของแห่งกำเนิดในจอแบบต่างๆ ความเจ็บป่วยต่างๆ ความผิดปกติของร่างกายจะเกิดขึ้นในคนต่อจากนี้มากขึ้นหรือไม่ เป็นเรื่องที่ต้องอยู่ในการสอดส่อง ควบคุมดูแล และจำกัดการใช้งานอย่างเหมาะสม แต่ใครหละจะควบคุมในเมื่อความหอมหวลของเศรษฐกิจดิจิดอลรออยู่ข้างหน้า 

ทางด้านจิตใจ จิตใต้สำนึกของมนุษย์โดยธรรมชาติมนุษย์ไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อรองรับตัวตนที่หลายหลาย ในอดีตยุคพ่อแม่ปู่ย่าตายาย การสร้างตัวตนนั้นเกิดขึ้นครั้งเดียวและแทบจะไม่เปลี่ยนแปลงไปตลอดชีวิต การรับมือกับความเหวี่ยงของตัวตนในโลก Metaverse นั้น คนเราจะรับมือไหวหรือไม่ สำหรับผมมองว่าอย่างน้อยในอีกไม่ต่ำกว่า 3 ชั่วอายุคน การพัฒนาทางวิวัฒนาการของมนุษย์ถึงจะรับมือไหว และมนุษย์ยุคนั้นจะเป็นยังไงนะ? นั่นก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจ (แต่คงอยู่ไม่ถึง) ในยุคนี้ที่ธรรมชาติของจิตใจยังไม่รองรับ อาจจะนำพาความผิดปกติของอารมณ์ เกิดอามรณ์ที่ควบคุมไม่ได้ สุข เศร้า เหงา รัก ในแบบที่ควบคุมตัวเองไม่ได้ สัญญาณแห่งโรคซึมเศร้าที่เพิ่มมากขึ้นน่าจะเป็นตัวบอกทิศทางที่เป็นด้านมืดนี้ได้ดี ที่น่าห่วงที่สุดคือ เด็กที่กำลังเริ่มต้นสร้างตัวตนเป็นครั้งแรกในจิตใจตั้งแต่อายุ 0 – 10 ขวบ และช่วงพัฒนาความมั่นคงของตัวตนจนอายุ 14 นั้นหากถูกนำพาเข้าไปสู่โลก Metaverse เร็วเกินไป ระบบโครงสร้างพื้นฐานที่สัมพันธ์กับร่างกายนั้นจะดำเนินไปอย่างไม่เป็นปกติถาวรไปตลอดหรือไม่? การเสพติดตัวตนที่มีให้เสพอย่างมากมายหลายหลาก จะก่อเกิดความทะยานอยากของการเสพ ความอยากได้อยากมีจนก่อเกิดปัญหาความทุกข์ในใจของคนที่ไม่สามารถจัดหาสิ่งต่างๆ ตามความอยากของตนเองได้ และความทุกข์นั้นส่งผลต่อฮอร์โมนในร่างกายโดยตรง อัตราการป่วยด้วยโรคอื่นๆ จะตามมาในอนาคตมากแค่ไหน คำถามในด้านมืดเหล่านี้ดูเหมือนไม่ได้ถูกหยิบยกมามองอย่างจริงจังเพราะ “มันยังไม่เกิดขึ้น ใจเย็นๆ เดี๋ยวเกิดอะไรขึ้นก็ค่อยแก้ไขกันไป ทุกอย่างมีทางออกเสมอแหละ” คำพูดแบบนี้คุ้นๆ หูผมมากเลย เหมือนตอนเราเริ่มยุคเกษตรเคมี เริ่มอุตสาหกรรม เริ่มยุคการตลาด ผลกระทบด้านสุขภาพ จิตใจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ปัญหาเหล่านั้นยังส่งผลมหาศาลในปัจจุบัน และยังผลักส่งต่อไปให้คนรุ่นลูก รุ่นหลาน คิดเอาเองต่อว่าจะจัดการยังไงกับเรื่องที่เกิดขึ้นจากคนรุ่นก่อนหน้า

อย่างไรโลกก็ต้องดำเนินไปตามทิศทางของผู้ที่มีพลังในการผลักดัน ผมมองว่าถึงเวลาแห่งยุคทองของอัศวินนักออกแบบแล้ว เพราะในอดีตเราต้องพึ่งพาทุนในการผลิต ต้องพึ่งกำลังการผลิตโรงงานและวัตถุดิบที่ไม่สามารถเอื้อมได้ แต่ใน Metaverse นักออกแบบบสามารถสร้าง คิด ผลิต ขายสินค้าของตัวเองได้ด้วยตัวเอง เป็นยุคในฝันของนักกอกแบบสร้างสรรค์จริงๆ แล้วในฐานะนักออกแบบสร้างสรรค์เราจะทำอะไรได้บ้าง เพื่อการออกแบบที่จะสร้างคุณค่าในโลกด้วย Metaverse สิ่งที่ผมขอนำเสนอ ณ วันนี้ และอยากชวนทุกท่านคิดคือเราจะทำอะไรที่มีคุณค่ากันดี? ลองมาเริ่มๆ กันนะครับ ยกตัวอย่างแนวคิดออกแบบเพื่อเชื่อมสองโลกโดยใช้ข้อดีด้านการไม่ต้องผลิตทางกายภาพของโลก Metaverse มาสร้างสรรค์การเรียนรู้ ด้านต่างๆ ที่สามารถผลิตสื่อที่สร้างมุมมอง แนวคิด และแรงบันดาลใจให้คนได้ สร้างงานให้เข้าสู่ระดับศิลปะที่ให้แรงบันดาลใจในการใช้ชีวิต ให้แนวคิดดีๆ เพื่อการพัฒนาตนเอง การทดลองการฝึกทักษะที่ลงมือทำได้จริงใน Metaverse ประหยัด ลดความเสี่ยง เรียนรู้ให้ชัดเจนก่อนจะออกไปใช้ชีวิตทำแบบนั้นจริงๆ ในโลกกายภาพ ก็เป็นอีกด้านที่น่าสนใจ เช่น เราสามารถสอนทำอาหารสุขภาพสมือนจริงที่ลองฝึกได้ เข้าใจวัตถุดิบไปจนถึงแหล่งผลิตได้ และไปทำจริงได้ด้วยตัวเอง การฝึกทักษะที่ยากและมีความเสี่ยงด้วยการทำ simulation ใน Metaverse ก่อนให้ชำนาญ การออกแบบพื้นที่ๆ สร้างแรงบันดาลใจให้คนได้ลองเข้ามาใช้ชีวิตบน Metaverse จนอยากให้เกิดจริงๆ บนโลก เช่น การจัดบ้านที่สะอาดสวยงาม การทำพื้นที่สีเขียว การฟื้นฟูสภาพป่า ท้องทะเลที่ใสสะอาด และมีธรรมชาติสมบูรณ์ ฯลฯ ยังมีเรื่องอีกมากมายที่เราจะออกแบบเพื่อใช้งาน Metaverse ให้เป็นเครื่องมือสร้างแบบจำลองความพึงพอใจให้เกิดแรงบันดาลใจที่จะสร้างสรรค์ฟื้นฟูโลกกายภาพให้ดีขึ้น มุมมองนี้ต้องการคนจำนวนมากที่มีความคิดในทางสร้างสรรค์เพื่อสร้างให้เกิดขึ้นในปริมาณที่มากพอที่จะกลายเป็นกระแสความต้องการจนเกิดเศรษฐกิจ ความท้าทายจึงอยู่ที่คนที่จะใช้อย่างสร้างสรรค์ กับคนที่จะใช้อย่างไม่สนใจผลกระทบ และใช้เพื่อวัตถุประสงค์ที่ไม่ดีนั้นกลุ่มไหนจะมีมากกว่ากัน คำตอบคงต้องเฝ้าดูกันต่อไป แต่อย่างน้อยผมเชื่อว่าท่านที่อ่านมาจนถึงตรงนี้จะได้ภูมิต้านทาน Metaverse เพื่อการเสพและการใช้อย่างมีสติแล้ว นั้นก็ถือเป็นเครื่องมือถ่วงดุลย์คนที่สร้าง หากว่าไม่ทำสิ่งที่ดี ก็จะไม่มีใครใช้ และไม่เป็นที่นิยม

สุดท้ายคนก็คือคน จะดีจะชั่วอยู่ที่ตัวของคนที่จะใช้เทคโนโลยีต่างๆ ให้ถูกทาง ให้เป็นเส้นทางของการพัฒนามนุษย์ไปตามวิถีธรรมชาติ เพราะมนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่อ่อนแอและเป็นสิ่งเล็กน้อยมากๆ หากเทียบในธรรมชาติของจักรวาลที่เราอยู่นี้ การเคารพธรรมชาติและใช้ความสามารถของมนุษย์ในการสร้างสรรค์ให้สอดคล้องกับวิถีธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่ ดูจะเป็นเส้นทางที่จะก่อให้เกิดความยั่งยืนของเราต่อไป

Scroll to Top